วันอังคารที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2559

หนังสือเสริมความรู้ชุด รู้ทันภัยพิบัติ



              ทุกวันนี้ สภาวะของโลกได้มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะสังเกต ได้จากการที่มีอากาศที่แปรปรวน พายุที่แรงขึ้น ฝนที่ตกหนักมากขึ้นหรือฝนที่ตกน้อยลง กว่าปกติ อากาศที่ร้อนมากขึ้น ซึ่งก็รวมถึงการที่มีความแห้งแล้งมากขึ้นและยาวนานต่อเนื่องมากขึ้นด้วย สำหรับสภาวะแห้งแล้งที่ประเทศไทยกำลังได้ประสบอยู่ หากเราได้ทำความรู้จักและ เตรียมพร้อมที่จะรับมือกับความแห้งแล้งแล้ว เราก็สามารถเอาตัวรอดไปจากภัยพิบัติที่ แห้งแล้งนี้ได้ เมื่อท่านได้อ่านหนังสือเสริมความรู้เล่มนี้แล้วท่านจะได้รับความรู้ที่เกี่ยวข้องกับ ภัยแล้งทั้งหมด ตั้งแต่สาเหตุที่เกิดภัยแล้ง ความเสียหายและผลกระทบจากภัยแล้ง ช่วงเวลาที่จะเกิดภัยแล้งในประเทศไทย การเตรียมตัวรับกับภัยแล้งทั้งในภาคประชาชนและภาค ชุมชน รวมถึงการเตรียมป้องกันโรคภัยที่มากับภัยแล้ง



                        download สื่อเสริมภัยแล้ง
                        ที่มา:http://www.pattanadownload.com/download/

อาหารประจำชาติอาเซียน

                อาหารประจำชาติอาเซียน


                                                                อาหารกัมพูชา



              เริ่มกันที่ ลกลัก (Lok lak) คือเนื้อวัวหั่นเป็นชิ้นพอดีคำ ผัดแบบแห้งหรือมีน้ำขลุกขลิกใส่พริกไทยดำ ปรุงรสให้เค็มปนหวาน มักกินกับข้าวหรือขนมปัง ถือเป็นวัฒนธรรมการกินที่กัมพูชาได้รับมาจากฝรั่งเศส

                                                                    อาหารไทย



                 เริ่มกันที่ ผัดไทย มีที่มาจากนโยบายสร้างรัฐนิยมสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ไม่ว่าจะชื่อหรือแม้แต่วัตุดิบ ก็ล้วนสื่อถึงเมืองไทย ใช้เส้นจัทร์ผัดกับกุ้งแห้งแทนหมู เติมเต้าหู้เหลือง ปรุงรสอย่างไทย คือส้มมะขาม กินกับถั่วลิสงคั่วถั่วงอก หัวปลี มะนาว รสชาติออกหวานมันเค็ม เหตุผลที่ จอมพล ป. เลือใช้เส้นแทนข้าวทั้งที่ข้าวเป็นอาหารหลักของไทย ก็เพราะวสมัยนั้นเป็นยุคข้าวยากหมากแพง หลังสงครามโลกครั้งที่ 2                     

                                                                           อาหารบรูไน

                อัมบูยัต (Ambuyat) อาหารพื้นเมือง เป็นแป้งกวนทำจากต้นสาคูที่เรียกว่าอัมบูลุง มาผสมน้ำร้อนจนเหนียวจ้ย เสริฟ์ร้อนๆตักกินโดยใช้แท่งไม้ไผ่สองง่าม ม้วนแป้ง จุ่มน้ำจิ้ม กินกับเครื่องเคียง เช่น ผักสด ปลาทอด เนื้อทอด

อาหารฟิลิปปินส์


ฮาโลฮาโล (Halo-halo) ในภาษาฟิลิปปินโนแปลว่า ผสม เป็นของหวานยอดนิยมของฟิลิปปินส์ทำด้วยน้ำแข็งเกล็ด โรยหน้าผลไม้เชื่อม ถั่วแดงหวาน ไอศกรีม ราดด้วยนมสด


อาหารมาเลเซีย


เรินดัง (อินโดนีเซีย: rendang) เป็นอาหารที่ปรุงด้วยเนื้อที่มีรสเผ็ด จุดกำเนิดเป็นอาหารของชาวมีนังกาเบาในอินโดนีเซีย และเป็นที่นิยมไปทั่วประเทศ เป็นอาหารที่ชาวมีนังกาเบาใช้ในงานเฉลิมฉลองและต้อนรับแขกผู้มีเกียรติ นอกจากนั้น ยังเป็นที่นิยมในมาเลเซีย สิงคโปร์ บรูไน ภาคใต้ของไทย และภาคใต้ของฟิลิปปินส์ ชาวมาเลเซียมักกินคู่กับนาซิ เลอมัก


อาหารลาว


ลาบ เรียกว่าเป็นอาหารประจำชาติลาวเลยก็ว่าได้ ชาวลาวนิยมทำลาบในเทศกาลพิเศษอย่างงานแต่งงาน งานทำบุญขึ้นบ้านใหม่ นอกจากนี้ ที่หลวงพระบางยังมีเมนูเด็ดคือ ลาบไก่งวง ซึ่งหากินได้เฉพาะที่นี่เท่านั้น


อาหารอินโดนิเซีย


สะเต๊ะ (Satay) หรือที่ชาวอินโดนีเซียเรียกว่า ซะเต เป็นอาหารที่นิยมในทุกครัวเรือน กินคู่กับน้ำจิ้มถั่วลิสงหรือน้ำจิ้มแบบอื่น สะเต๊ะทำจากเนื้อหมู ไก่ วัว แกะ แพะ หรือปลาหั่นเป็นชิ้นบางหรือก้อน เสียบไม้ย่างบนเตา สะเต๊ะมีจุดกำเนิดมาจากเกาะชวา หรือเกาะสุมาตราในอินโดนีเซีย แต่ก็ได้รับความนิยมในประเทศอื่นๆด้วย เช่น มาเลเซีย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ และไทย


อาหารเมียนมาร์


หล่าเพ็ด (Lahpet) คือใบชาหมักกินกับเครื่องเคียง เช่น กระเทียมเจียว ถั่ว กุ้งแห้ง ขิง มะพร้าวคั่ว งาคั่ว เป็นอาหารว่างคล้ายเมี่ยงของไทย และเป็นอาหารยอดนิยมของชาวเมียนมาร์ ที่ขาดไม่ได้ในโอกาสพิเศษหรือเทศกาลสำคัญๆ


อาหารสิงคโปร์


ลักซา (Laksa) อาหารขึ้นชื่อของประเทศสิงคโปร์ ลักซามีลักษณะคล้ายก๋วยเตี๋ยวต้มยำใส่กะทิทำให้รสชาติเข้มข้น คล้ายคลึงกับข้าวซอยของไทย โดยลักซาจะมีส่วนผสมของ กุ้งแห้ง พริก กุ้งต้ม และหอยแครง เหมาะสำหรับคนที่ชอบรับประทานอาหารทะเลเป็นอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม ลักซามีทั้งแบบที่ใส่กะทิ และไม่ใส่กะทิ ทว่าแบบที่ใส่กะทิจะเป็นที่นิยมมากกว่า


อาหารเวียดนาม
ฝอ (Pho) มีลักษณะคล้ายก๋วยเตี๋ยว ได้รับอิทธิพลมาจากจีน แต่ได้พัฒนารสชาติเป็นของตัวเอง เส้นแบนยาว ขนาดใหญ่กว่าเส้นเล็กของไทยเล็กน้อย บางครั้งเป็นเส้นกลมคล้ายขนมจีน น้ำซุปเคี่ยวจากเนื้อวัวหรือไก่ ใส่เนื้อสัตว์ต่างๆ กินคู่กับเครื่องเคียงเป็นผักสดนานาชนิด




ที่มา:http://asean.skru.ac.th/food

วันจันทร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2559

เครื่องแต่งกายประจำชาติอาเซียน

เครื่องแต่งกายประจำชาติอาเซียน


ชุดแต่งกายประจำชาติ

ไทย

ชุดประจำชาติไทยของผู้หญิง คือ ชุดไทยจักรีเป็นชุดไทยแบบหนึ่งของชุดไทยพระราชนิยม ชุดไทยจักรีประกอบด้วยเสื้อตัวที่ไม่มีแขน ไม่มีคอ ห่มสไบปักดิ้นทองทิ้งชายยาวด้านหลังพอสมควร นุ่งผ้ายกมีเชิงหรือยกทั้งตัว มีจีบยกข้างหน้าและชายพก คาดเข็มขัดไทย ส่วนผู้ชายสวมเสื้อพระราชทาน เป็นเสื้อคอตั้ง มีสาบอก กระดุมกลมแบนผ้าสีเดียวกับตัวเสื้อ นุ่งกางเกงขายาว


ชุดแต่งกายประจำชาติกัมพูชา

ชุดประจำชาติของกัมพูชาคือ ซัมปอต (Sampot) หรือผ้านุ่งกัมพูชา ทอด้วยมือ มีทั้งแบบหลวมและแบบพอดี คาดทับเสื้อบริเวณเอว ผ้าที่ใช้มักทำจากไหมหรือฝ้าย หรือทั้งสองอย่างรวมกัน ซัมปอตสำหรับผู้หญิงมีความคล้ายคลึงกับผ้านุ่งของประเทศลาวและไทย ทั้งนี้ ซัมปอดมีหลายแบบซึ่งจะแตกต่างกันไปตามชนชั้นทางสังคมของชาวกัมพูชา ถ้าใช้ในชีวิตประจำวันจะใช้วัสดุราคาไม่สูง ซึ่งจะส่งมาจากประเทศญี่ปุ่น นิยมทำลวดลายตามขวาง ถ้าเป็นชนิดหรูหราจะทอด้ายเงินและด้ายทอง



ชุดแต่งกายประจำชาติเวียดนาม

อ่าวหญ่าย (Ao dai) เป็น ชุดประจำชาติของประเทศเวียดนามที่ประกอบไปด้วยชุดผ้าไหมที่พอดีตัวสวมทับกางเกงขายาวซึ่งเป็นชุดที่มักสวมใส่ในงานแต่งงานและพิธีการสำคัญของประเทศ มีลักษณะคล้ายชุดกี่เพ้าของจีน ในปัจจุบันเป็นชุดที่ได้รับความนิยมจากผู้หญิงเวียดนาม ส่วนผู้ชายเวียดนามจะสวมใส่ชุดอ่าวหญ่ายในพิธีแต่งงานหรือพิธีศพ

ชุดแต่งกายประจำชาติสิงคโปร์

สิงคโปร์ไม่มีชุดประจำชาติเป็นของตนเอง เนื่องจากประเทศสิงคโปร์แบ่งออกเป็น 4 เชื้อชาติหลัก ๆ ได้แก่ จีน มาเลย์ อินเดีย และชาวยุโรป ซึ่งแต่ละเชื้อชาติก็มีชุดประจำชาติเป็นของตนเอง เช่น ผู้หญิงมลายูในสิงคโปร์ จะใส่ชุดเกบาย่า (Kebaya) ตัวเสื้อจะมีสีสันสดใส ปักฉลุเป็นลายลูกไม้ หากเป็นชาวจีน ก็จะสวมเสื้อแขนยาว คอจีน เสื้อผ้าหน้าซ่อนกระดุม สวมกางเกงขายาว โดยเสื้อจะใช้ผ้าสีเรียบหรือผ้าแพรจีนก็ได้

ชุดแต่งกายประจำชาติฟิลิปปินส์

เครื่องแต่งกายประจำชาติของผู้หญิงชาวฟิลิปปินส์เป็นชุดเสื้อและกระโปรงติดกันเสื้อคอกว้างแบบตะวันตก แขนยกเป็นปีกกว้าง ทำด้วยผ้าใยสับปะรด ส่วนผู้ชายสวมเสื้อแขนยาวทอจากใยสับปะรดและนุ่งกางเกงขายาวแบบสากล ตามเกาะต่างๆ มีการแต่งกายคล้ายชาวมลายูและอินโดนีเซีย คือนุ่งโสร่งปาเต๊ะ สวมเสื้อผ้าใยสับปะรดหรือแพร แขนกระบอกยาวจดข้อมือ มีผ้าพาดบ่า

ชุดแต่งกายประจำชาติ

เมียนมาร์

ชุดประจำชาติของพม่าทั้งผู้ชายและผู้หญิงนั้นจะเรียกว่าชุด ลองยี (Longyi) มีลักษณะเป็นผ้าโสร่งขนาดยาวครอบเท้าหรือลากพื้น ใช้สวมใส่ในงานพิธีการที่สำคัญของชาวพม่า ผู้หญิง จะมีการสวมเสื้ออยู่สองแบบด้วยกันคือเสื้อที่มีการติดกระดุมด้านหน้า เรียกว่า ยินซี (Yinzi) และเสื้อที่ติดกระดุมด้านข้างเรียกว่า ยินบอน (Yinbon) มีการสวมผ้าคลุมไหล่ สำหรับใช้ในงานประเพณีที่สำคัญ เช่น งานบุญหรือสวมผ้าคลุมไหล่ในเวลาที่สวดมนต์ไว้พระเพื่อแสดงถึงความสำรวมและมีการนุ่งผ้าซิ่นที่ทอลายสวยงาม ผู้ชายจะสวมเสื้อแขนยาวเป็นเสื้อเชิ้ตคอปกจีนแมนดาริน และเสื้อคลุมด้านนอกไม่มีปกคอ เป็นเสื้อสีพื้นไม่มีลวดลาย มีการโพกศีรษะด้วยผ้า ที่เรียกว่า กอง บอง (Guang Baung) อีกด้วย พร้อมกับนุ่งโสร่ง

ชุดแต่งกายประจำชาติมาเลเซีย

ผู้หญิงจะสวมเสื้อ "บาราจูกุง" ซึ่งเป็นเสื้อแขนยาว ที่มีขนาดตัวยาวถึงเข่า หรือเสื้อ "เกบาย่า" ซึ่งเป็นเสื้อแขนยาวสีสันสดในและมีฉลุดอกไม้ ขนาดพอดีตัวปิดถึงสะโพก และนุ่งกับโสร่งที่มีลวดลายเข้ากับเสื้อ บางครั้งมีผ้ากคล้องคอ และสวมรองเท้าแตะ หรือร้องเท้าส้นสูงแบบสากล ส่วนผู้ชายจะสวมเสื้อแขนยาวแบบคอปิดติดกระดุม และนุ่งกางเกงขายาวสีเดียวกับเสื้อ ที่เรียกว่าชุด "บาจูมลายู" ซึ่งมีผ้าคาดทับเอว และสวมหมวกแบบมุสลิมี่เรียกว่า "ซอเกาะ" สวมรองเท้าหนังแบบสากล



ชุดแต่งกายประจำชาติ

ลาว

ผู้หญิงลาวนุ่งผ้าซิ่น และใส่เสื้อแขนยาวทรงกระบอก ผู้ชายมักแต่งกายแบบสากล หรือนุ่งโจงกระเบน สวมเสื้อชั้นนอกกระดุมเจ็ดเม็ด คล้ายเสื้อพระราชทานของไทย

ชุดแต่งกายประจำชาติอินโดนีเซีย

เกบาย่า (Kebaya) เป็นชุดประจำชาติของประเทศอินโดนีเซียสำหรับผู้หญิง มีลักษณะเป็นเสื้อแขนยาว ผ่าหน้า กลัดกระดุม ตัวเสื้อจะมีสีสันสดใส ปักฉลุเป็นลายลูกไม้ ส่วนผ้าถุงที่ใช้จะเป็นผ้าถุงแบบบาติก ส่วนการแต่งกายของผู้ชายมักจะสวมใส่เสื้อแบบบาติกและนุ่งกางเกงขายาวหรือเตลุก เบสคาพ (Teluk Beskap) ซึ่งเป็นการแต่งกายแบบผสมผสานระหว่างเสื้อคลุมสั้นแบบชวาและโสร่ง และนุ่งโสร่งเมื่ออยู่บ้านหรือประกอบพิธีละหมาดที่มัสยิด


ชุดแต่งกายประจำชาติ

บรูไน

ชุดประจำชาติของบรูไนคล้ายกับชุดประจำชาติของผู้ชายประเทศมาเลเซีย เรียกว่า บาจู มลายู (Baju Melayu) ส่วนชุดของผู้หญิงเรียกว่า บาจูกุรุง (Baju Kurung) แต่ผู้หญิงบรูไนจะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่มีสีสันสดใส โดยมากมักจะเป็นเสื้อผ้าที่คลุมร่างกายตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ส่วนผู้ชายจะแต่งกายด้วยเสื้อแขนยาว ตัวเสื้อยาวถึงเข่า นุ่งกางเกงขายาวแล้วนุ่งโสร่ง เป็นการสะท้อนวัฒนธรรมสังคมแบบอนุรักษ์นิยม เพราะบรูไนเป็นประเทศมุสสิม จึงต้องแต่งกายมิดชิดและสุภาพเรียบร้อย
ที่มา:http://asean.skru.ac.th/costume

วัดต้นแก้ว


ประวัติวัดต้นแก้ว
                วัดต้นแก้วตั้งอยู่ที่บ้านเวียงยอง หมู่ที่ ๓ ตำบลเวียงยอง อำเภอเมือง จังหวัดลำพูน สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย ที่ดินตั้งวัดมีเนื้อที่ทั้งหมด ๔ ไร่ ๑ งาน ๔๐ ตาราวา อาณาเขตทิศเหนือประมาณ ๙๓ วา จดที่ดินเอกชน ทิศใต้ประมาณ ๗๔ วา จดถนนสายท่าสิงฆ์-พระยืน ทิศตะวันออกประมาณ ๒๘ วา จดสระน้ำ ทิศตะวันตกประมาณ ๓๐ วา จดถนนสาธารณะ อาคารเสนาสนะประกอบด้วย อุโบสถ พระวิหาร ศาลาการเปรียญ และกุฏิสงฆ์ ปูชนียวัตถุมี พระพุทธรูป และเจดีย์
                วัดต้นแก้วสร้างขึ้นเมื่อ พุทธศักราช ๑๘๒๕ ตามประวัติวัดแจ้งว่า สร้างประมาณพุทธศักราช ๒๓๔๙ โดยสันนิษฐานว่าย้ายมาจากวัดดอนแก้ว ซึ่งเป็นวัดที่สร้างสมัยพระนางเจ้าจามเทวี เริ่มสร้างเมืองลำพูน ที่ย้ายมาเนื่องจากวัดดอนแก้วเป็นวัดใหญ่ขาดการดูแลรักษาจึงผุพังไปตามกาล เวลา พระอธิการกัณฑ์ จึงได้ย้ายมาสร้างวัดต้นแก้วขึ้นใหม่ โดยมีแม่เฟย พร้อมดัวยผู้มีจิตศรัทธาช่วยกันก่อสร้างวัด ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อ พ.ศ. ๑๘๓๐ การบริหารและการปกครองอยู่ในอำนาจของเจ้าอาวาส มีเจ้าอาวาสเท่าที่ทราบนามมามีทั้งหมด ๑๐ รูป คือ รูปที่ ๑ พระอธิการกัณฑ์  รูปที่ ๒ พระอธิการอินจัย  รูปที่ ๓ พระอธิการอิ่นคำ รูปที่ ๔ พระอธิการทองสุข รูปที่ ๕ พระมหาสม ใหญ่พงษ์  รูปที่ ๖ พระอธิการคำ  เขื่อนเรือง  รูปที่ ๗ พระอธิการทองดี   สิงคลิง   รูปที่ ๘ พระอธิการบุญชุม  บวรธมโม  รูปที่ ๙ พระอธิการผจญ  อคฺคธมโม รูปที่ ๑๐ พระครูไพศาลธีลคุณ  จนถึงปัจจุบัน  
                นอกจากนี้ยังได้สร้างที่อ่านหนังสือพิมพ์ประจำหมู่บ้าน  สร้างศูนย์การเรียนชุมชน ( กศน. ) สร้างกลุ่มทอผ้าผู้สูงอายุ สร้างพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านและศูนย์บูราณาการวัฒนธรรมสายใยชุมชนในวัด เนื่องจากว้าวัดต้นแก้วหรือวัดดอนแก้วในอดีต ตั้งอยู่ในตำบลเวียงยอง  อำเภอเมือง  จังหวัดลำพูน เป็นวัดที่เก่าแก่เกี่ยวกับพระนางเจ้าจามเทวีปฐมกษัตริย์แห่งนครลำพูน ความเป็นมาของวัดในอดีตประมาณ ๑,๓๐๐ ปี มาแล้ว ท่านฤาษีวาสุเทพและท่านฤาษีสุกกทันตะ ได้พร้อมกันสร้างนครหริภุณชัยขึ้นและได้เทิดทูลเชิญเสด็จพระนางเจ้าจามเทวี ราชธิดาของพระเจ้ากรุงละโว้ขึ้นมาเป็นปฐมกษัตริย์ปกครองเมืองลำพูน พระนางเจ้าจามเทวีได้สร้างวัดขึ้นอยู่สี่มุมเมือง คือวัด ๑.ดอนแก้วหรือวัดต้นแก้วในปัจจุบัน  ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออก ๒.วัดอาพัทธาราม หรือวัดพระคงฤาษีในปัจจุบัน อยู่ทางทิศเหนือ ๓.วัดมหาลัดดาราม หรือวัดสังฆารามประตูลี้ ในปัจจุบัน อยู่ทางทิศใต้ ๔.วัดมหาวนาราม หรือวัดมหาวัน ในปัจจุบัน อยู่ทางทิศตะวันตก  พร้อมได้บรรจุพระเครื่องสกุลลำพูนไว้มากมาย เช่น รรอด พระบาง พระลือ พระเลี่ยง พระสิบสอง พระลบ เป็นต้น นำไปฝังไว้ตามวัดต่างๆทั้ง ๔ ทิศ
                วัดต้นแก้วได้ดำเดินการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ขึ้นภายในวัด จำนวน ๒ แห่ง คือ พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านเวียงยอง และพิพิธภัณฑ์ตำบลเวียงยอง ซึ่งมีประวัติความเป็นมาโดยย่อดังนี้
๑. พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านเวียงยอง
                พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านเวียงยองตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๐ ในอาณาบริเวณวัดต้นแก้ว โดยดำริของพระครูไพศาลธีรคุณ เจ้าอาวาสวัดต้นแก้ว รองเจ้าคณะตำบลเวียงยองโดยได้ใช้กุฏิสงฆ์หลังเดิม ซึ่งมีสถาปัตยกรรมการก่อสร้างแบบเก่า )ปรับปรุงภายในอาคารแล้วเก็บรวบรวมโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุต่างๆ ที่มีอยู่ภายในวัด จัดให้เป็นหมวดหมู่ตั้งแสดงไว้ให้บรรดาพระภิกษุสามเณร ข้าราชการ ประชาชน นักเรียน นักศึกษาและผู้ที่สนใจเข้าชมทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการ ทำพิธีเปิดโดย   พระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณพระเทพมหาเจติยาจารย์(ไพบูลย์) เจ้าคณะจังหวัดลำพูนและนายเถกิงศักดิ์ พัฒโน ผู้ว่าราชการจังหวัดลำพูนพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านเวียงยองแห่งนี้ ได้รับความสนใจจากบุคคลโดยทั่วไป ขอเข้าชมเป็นประจำ โดยเฉพาะพระภิกษุสามเณรและกลุ่มนักเรียนนักศึกษา ที่สนใจใฝ่รู้ประวัติศาสตร์ความเป็นมาของอาณาจักรล้านนา
                  ซึ่งจากการก่อตั้งพิพิธภัณฑ์และได้รวบรวมของที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์นี้ เองจึงทำให้เจ้าอาวาสวัดต้นแก้วได้รับเสมาธรรมจักรจากสมเด็จพระเทพรัตนราช สุดาฯสยามบรมราชกุมารี




๒.พิพิธภัณฑ์ตำบลเวียงยอง
              พิพิธภัณฑ์ตำบลเวียงยอง ตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๗ ในอาณาบริเวณวัดต้นแก้วโดยดำริของพระครูไพศาลธีรคุณ เจ้าอาวาสวัดต้นแก้ว รองเจ้าคณะตำบลเวียงยอง ร่วมกับองค์การบริหารส่วนจังหวัดลำพูนและองค์การบริหารส่วนตำบลเวียงยอง โดยการสนับสนุนของนายนิรันดร์  ด่านไพบูลย์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดลำพูนและนายมนู  ศรีประสาท นายกองค์การบริหารส่วนตำบลเวียงยอง ได้จัดตั้งโครงการ “ ถนนสายวัฒนธรรม”ถนนสายนี้มีจุดเริ่มต้น ที่วัดพระธาตุหริภุญชัยวรมหาวิหาร ข้ามสะพานท่าสิงห์พิทักษ์ ( ขัวมุง ) ผ่านหน้าวัดต้นแก้ว โรงเรียนบ้านเวียงยอง ธรรมสถานดอนแก้วไปสิ้นสุดที่วัดพระยืน ซึ่งสามารถเชื่อมโยงประวัติศาสตร์และวิถีชีวิตของคนในชุมชนให้เข้ากันได้ โดยมุ่งประเด็นไปที่การอนุรักษ์วัฒนธรรมล้านนา และอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเป็นหลัก ตั้งสมมติฐานว่าถ้ามีนักท่องเที่ยวมานมัสการพระบรมธาตุเจ้าหริภุญชัย ณ วัดพระธาตุหริภุญชัย วรมหาวิหาร แล้วก็สามารถเดินข้ามขัวมุง ( สะพานที่มีหลังคามุงครอบ ) ชมพิพิธภัณฑ์ตำบลเวียงยอง ณ วัดต้นแก้ว ศึกษาวิถีชีวิตของชาวไทยอง ณ บ้านเวียงยอง ไปสิ้นสุดกิจกรรมการไหว้พระ ณ วัดพระยืน โครงการนี้ เป็นโครงการใหญ่ อันเป็นแผนพัฒนาเมืองลำพูนให้เจริญก้าวหน้ารุ่งเรืองตามลำดับ
                 ดังนั้นคณะกรรมการทุกฝ่ายจึงพิจารณาเห็นว่าพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านเวียงยองของ วัดต้นแก้ว มีโบราณวัตถุ และศิลปวัตถุต่างๆ เป็นจำนวนมาก แต่ยังไม่ได้มีการจัดหมวดหมู่ที่ถูกต้องตามระบบของพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น อีกทั้งภายในวัดต้นแก้วก็ยังมีเจดีย์เก่าองค์หนึ่ง อันเป็นโบราณสถานที่เก่าแก่ดั้งเดิม สมควรที่จะพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว ที่สามารถเสริมสร้างความรู้ให้กับผู้ที่มาชมได้ จึงได้จัดสรรงบประมาณจำนวน ๑,๕๐๐,๐๐๐ บาท ทำการก่อสร้างอาคารพิพิธภัณฑ์ตำบลเวียงยองขึ้น ๑ หลังสถาปัตยกรรมทรงไทยประยุกต์ แบ่งหมวดหมู่ของโบราณวัตถุ และศิลปวัตถุต่างๆไว้ดังนี้ คือ
                 ๑. หมวดพระพุทธรูป และพระพิมพ์โบราณ
                 ๒. หมวดคัมภีร์ใบลาน และพับกระดาษ ( สมุดไทย ) โบราณ
                 ๓. หมวดเครื่องมือเครื่องใช้ของผู้คนในชุมชน
                ๔. หมวดเครื่องนุ่งห่ม ( ชาวไทยองมีฝีมือโดดเด่นเรื่องการทอผ้ามาก)
                ๕. หมวดเบ็ดเตล็ด ( แสดงประวัติความเป็นมาของชาวไทยอง )
                ทำพิธีเปิดโดย นายประเสริฐ ภู่พิสิฐ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดลำพูน ( สมัยต่อมา ) พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เปิดให้บรรดาพระภิกษุสามเณร ข้าราชการ ประชาชน นักเรียน นักศึกษา และผู้ที่สนใจเข้าชมทุกวัน ไม่เว้นวันหยุดราชการ ได้รับความสนใจจากบุคคลทั่วไป ขอเข้าชมเป็นประจำ โดยเฉพาะพระภิกษุสามเณร และกลุ่มนักศึกษาที่สนใจใฝ่รู้ประวัติศาสตร์ความเป็นมาของอาณาจักรล้านนา และศึกษาวิถีชีวิตของชุมชนคนไทยองที่มาตั้งถิ่นฐานในเมืองลำพูนนี้ และพิพิธภัณฑ์วัดต้นแก้วทั้งสองหลังก็ได้เปิดทำการมาจนถึงปัจจุบันนี้ โดยเปิดตั้งแต่เวลา ๐๘.๐๐ – ๑๖.๐๐น. เปิดให้ผู้สนใจได้เข้าชมทุกวันยกเว้นวันจันทร์


 ที่มา:https://www.gotoknow.org/posts/423126


วัดพระยืน


วัดพระยืน ตั้งอยู่เลขที่ ๑ บ้านพระยืน หมู่ที่ ๑ ตำบลเวียงยอง อำเภอเมือง จังหวัดลำพูน สังกัดคณะสงฆ์มหานิกายมีเนื้อที่ประมาณ ๒๙ ไร่ ๒ งาน อยู่ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำกวง

ชื่อ “ วัดพระยืน ” เรียกตามปูชนียวัตถุสำคัญที่อยู่ในวัด คือพระยืน ( พระพุทธรูปยืน ) ซึ่งเรื่องเกี่ยวกับพระยืนนี้ ได้มีการกล่าวไว้ในหนังสือตำนานหลายเล่ม อาทิ ในหนังสือ ตำนานมูลศาสนา ได้กล่าวถึงตอนที่พระญากือนาได้อาราธนานิมนต์พระสุมนเถระจากเมืองสุโขทัย เพื่อมาเชียงใหม่ โดยได้พักที่วัดพระยืน ในเมืองหริภุญชัย ราว พ . ศ . ๑๙๑๒ ซึ่งขณะนั้นได้มีพระยืน ๑ องค์อยู่ก่อนแล้ว แต่บริเวณนั้นเป็นป่า พระญากือนาจึงให้คนไปแผ้วถาง แล้วสร้างพระพุทธรูปยืนเพิ่มอีก ๓ องค์ โดยองค์หนึ่งให้หันหน้าไปทางทิศตะวันตก องค์หนึ่งหันหน้าไปทางทิศเหนือ และอีกองค์หนึ่งหันหน้าไปทางทิศใต้ และสร้างมณฑปครอบพระพุทธรูปยืนทั้ง ๔ องค์นี้ไว้

ต่อมามณฑปที่ได้สร้างไว้นั้นทรุดโทรมและปรักหักพังลง โดยเฉพาะที่ส่วนยอดพังลงมาจนถึงซุ้ม ส่วนพระพุทธรูปที่ประดิษฐานในมณฑปคงเหลือที่สมบูรณ์เพียงด้านทิศตะวันออกองค์เดียวเท่านั้น ดังนั้นในสมัยของ เจ้าหลวงอินทยงยศ จึงได้ให้ หนานปัญญาเมือง ชาวบ้านหนองเส้งซึ่งเป็นช่างประจำคุ้มหลวงเป็นผู้ออกแบบ และควบคุมการก่อสร้างพระเจดีย์ขึ้นมาใหม่ โดยสร้างครอบของเดิมที่ปรักหักพังไป แล้วให้นำเอาอิฐ หิน และดินที่พังลงมานั้น ใส่ถมพระมณฑปองค์เดิมที่มีพระพุทธรูปยืนเหลือเพียงองค์เดียวนั้นจนหมดสิ้น มณฑปองค์ใหม่นี้ทำจากศิลาแลงและอิฐบางส่วน และประดับลวดลายปูนปั้น ตั้งอยู่บนฐานสี่เหลี่ยมสูงกว่าเดิมมาก มีบันไดที่ตกแต่งด้วยเหงาทอดขึ้นสู่มณฑปทั้ง ๔ ด้าน บนมณฑปมีลานทักษิณล้อมรอบด้วยกำแพงแก้ว ที่มุมประดับด้วยสถูปิกะ หรือเจดีย์บริวาร ถัดจากฐานมีเรือนธาตุย่อเก็จ และซุ้มจระนำ ๔ ด้าน โดยยึดรูปแบบคล้ายกับองค์เดิมที่สร้างในสมัยของพระญากือนา แต่ละซุ้มประดิษฐานด้วยพระพุทธรูปยืน เหนือขึ้นไปเป็นมาลัยเถาสี่เหลี่ยมซ้อนกัน ๓ ชั้น และมีมุมประดับด้วยสถูปิกะ ส่วนยอดประดับด้วยฉัตร นอกจากนั้นยังมียอดเล็ก ๆ ที่ประดับรอบยอดใหญ่อีก ๔ ยอด อย่างไรก็ตาม กล่าวกันว่ารูปลักษณะของมณฑปวัดพระยืนนี้ คล้ายกับมณฑปสัพพัญญูในเมืองพุกามประเทศพม่า ทั้งนี้คงเนื่องมาจากชาวพม่าเข้ามาอาศัยในล้านนาและได้มีส่วนสร้างหรือสนับสนุนในการบูรณะมณฑปพระยืนแก่หนานปัญญาเมือง

ความสูงของพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นมาใหม่นี้ เมื่อเทียบกับระดับของพระพุทธรูปเดิมที่ถูกถมอยู่ข้างในแล้ว ระดับของพระนลาฏของพระองค์เดิมจะอยู่ในระดับเดียวกับระดับพระบาทของพระยืนองค์ที่เห็นในปัจจุบัน ด้วยเหตุนี้เองจึงได้มีการห้ามสตรีขึ้นไปบนเจดีย์ การก่อสร้างเจดีย์องค์ใหม่เริ่มขึ้นในปี พ . ศ . ๒๔๔๔ และสำเร็จลงในปี พ . ศ . ๒๔๕๐

ที่มา:http://www.thai-tour.com/thai-tour/north/lampun/data/place/pic_watprayuean.htm

อาหาร การกินในวัยผู้สูงอายุ



เมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุ มักจะเกิดความเปลี่ยนแปลงทางร่ายกาย จิตใจ และสังคม โดยเฉพาะทางร่างกาย ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของอวัยวะต่างๆ เสื่อมลง เกิดการเปลี่ยนแปลงของระบบต่างๆ เช่น ผิวหนัง ผม ตา หู จมูก ลิ้น ฟัน เป็นต้น
          ดังนั้นเราจึงควรใส่ใจในเรื่องต่างๆ ของผู้สูงอายุและพยายามปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมตามวัย ซึ่งสิ่งสำคัญอีกเรื่องคือ โภชนาการสำหรับผู้สูงอายุ นั่นคือ สารอาหารที่เหมาะสมกับความต้องการของร่างกายนั่นเอง ผู้สูงอายุมีความต้องการพลังงานและสารอาหารในปริมาณที่เหมาะสม เช่นเดียวกับบุคคลวัยอื่นๆ โดยที่ความต้องการพลังงานของร่างกายจะลดลง เนื่องจากการทำงานของอวัยวะต่างๆ น้อยลงกว่าเดิม ผู้สูงอายุที่มีสุขภาพสมบูรณ์ แข็งแรงอยู่แล้ว ควรได้รับสารอาหารครบทั้ง 5 หมู่ ดังนี้
          1. อาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต หรือแป้ง เช่น ข้าว ก๋วยเตี๋ยว เผือก และมันสำปะหลัง กลุ่มนี้เป็นสารอาหารหลัก และให้พลังงานแก่ร่างกายมากกว่าสารอาหารจากกลุ่มอื่น ผู้สูงอายุจึงควรรับประทานอาหารกลุ่มนี้แต่พออิ่ม คือ ข้าวมื้อละ 2 ทัพพี ควรเลือกเป็นข้าวไม่ขัดสี หลีกเลี่ยงการกินอาหารรสหวานจัดและของหวาน
          2. อาหารประเภทโปรตีนหรือเนื้อสัตว์และงา ถั่วชนิดต่างๆ อาหารกลุ่มนี้จำเป็นในการซ่อมแซม และสร้างเนื้อเยื่อที่สำคัญต่อการดำรงชีวิต เนื้อสัตว์ที่ผู้สูงอายุควรรับประทานคือ เนื้อสัตว์ที่ไม่มีหนังหรือไขมันมากเกินไป โดยเฉพาะเนื้อปลาและถั่วชนิดต่างๆ
          - กินไข่สัปดาห์ละ 3-4 ฟอง (ถ้าไขมันในเลือดสูงกินเฉพาะไข่ขาว)
          - ดื่มนมพร่องมันเนยวันละ 1 แก้ว
          - เลือกเนื้อสัตว์ไขมันต่ำ เช่น เนื้อปลา ย่อยง่าย ควรดัดแปลงให้นุ่ม ชิ้นเล็กๆ
          - กินถั่วเมล็ดแห้งเป็นประจำเพื่อให้ได้ใยอาหารเพิ่ม
          3. อาหารประเภทผักต่างๆ ผักจะให้วิตามินและเกลือแร่ที่จำเป็นต่อร่างกาย และมีใยอาหารช่วยให้ระบบขับถ่ายขับถ่ายเป็นปกติ
          4. อาหารประเภทผลไม้ ให้วิตามิน เกลือแร่ ใยอาหาร ผู้สูงอายุควรเลือกรับประทานผลไม้ที่เนื้อนุ่มเคี้ยวง่าย ได้แก่ มะละกอ กล้วยสุก ส้ม และควรรับประทานอย่างน้อยวันละ 1-2 ครั้ง ครั้งละ 6-8 ชิ้น/คำ สำหรับผู้สูงอายุที่อ้วน หรือเป็นเบาหวานให้หลีกเลี่ยงผลไม้หวานจัด เช่น ทุเรียน ลำไย ขนุน เป็นต้น
          5. อาหารประเภทไขมัน ได้แก่ ไขมันจากพืช และไขมันจากสัตว์ จะให้พลังงานแก่ร่างกายและยังช่วยในการดูดซึมวิตามินบางอย่างด้วย แต่อย่างไรก็ตามผู้สูงอายุก็ควรจำกัดอาหารประเภทไขมัน โดยรับประทานน้ำมัน 4-6 ช้อนชา เลือกใช้น้ำมันที่มีกรดไลโนเลอิก เช่น น้ำมันหมู ไข่แดง กะทิ หนังสัตว์ เครื่องใน เนยมาการีน เป็นต้น


          นอกจากนี้ เราควรดัดแปลงอาหารให้เหมาะสมกับผู้สูงอายุ เช่น การปรุงอาหารให้เปื่อยนุ่ม ง่ายต่อการเคี้ยว และการย่อย จัดแต่งอาหารให้มีสีสันน่ารับประทาน และควรปรุงสุกใหม่ๆ ทุกมื้อ
          หลีกเลี่ยงการปรุงอาหารเค็มจัด หวานจัด ในผู้สูงอายุที่มีโรคประจำตัว ควรจัดอาหารให้เหมาะสมกับโรคที่เป็นด้วยเพียงเท่านี้เราก็สามารถดูและผู้สูงอายุที่บ้านให้มีภาวะโภชนาการที่เหมาะสม มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง อายุยืนยาว และมีความสุข

          
ที่มา : หนังสือพิมพ์คม ชัด ลึก โดย คุณธนพร จิวสุวรรณ หัวหน้างานโภชนาการ งานโภชนาการ โรงพยาบาลบ้านแพ้ว











แกว่งแขนลดพุง แถมรักษาโรคได้เพียบ !



  แกว่งแขนลดพุง...แกว่งแขนรักษาโรค...แค่แกว่งแขนเฉย ๆ จะให้ผลลัพธ์แสนมหัศจรรย์ขนาดนี้เลยหรือนี่  ทางสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ถึงได้ออกมารณรงค์กันอยู่บ่อย ๆ อยากรู้แล้วสิว่า แกว่งแขน บำบัดโรค และลดพุง ได้จริงหรือ ถึงเวลามาหาคำตอบไปพร้อม ๆ กันแล้วคะ

 แกว่งแขนรักษาโรคได้อย่างไร
          การบริหารร่างกายด้วยการแกว่งแขนนี้เป็นศาสตร์ของแพทย์แผนจีนที่สืบทอดต่อกันมานานหลายพันปีแล้ว เพราะเป็นการออกกำลังกายที่ง่าย แถมยังทำได้ทุกเวลาที่ต้องการ ไม่ต้องมีอุปกรณ์ใด ๆ อีกด้วย ซึ่งเกิดจากแนวคิดที่ว่า การที่คนเราป่วย หรือรู้สึกไม่สบายเนื้อไม่สบายตัว เป็นเพราะเลือดหมุนเวียนไม่ดี
          อย่างเช่น พนักงานออฟฟิศที่ต้องนั่งทำงานอยู่วันละหลายชั่วโมง แทบไม่ได้ลุกไปไหน แต่หากได้ลุกขึ้นมายืดเส้นยืดสาย บิดขี้เกียจสักครู่ เราจะรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ก็เหมือนกับว่า เราทำให้เลือดลมหมุนเวียนได้ดีขึ้นนั่นเอง เมื่อเลือดลมในร่างกายเดินสะดวกขึ้น ก็จะช่วยบรรเทาโรคร้ายได้นั่นเอง

 แล้วทำไมถึงต้องใช้การบริหารแบบ "แกว่งแขน" ล่ะ?
          นั่นเพราะใต้หัวไหล่ที่เรียกว่ารักแร้นั้น คือชุมทางของต่อมน้ำเหลือง หากเราได้ขยับหัวไหล่ และรักแร้ ด้วยการแกว่งแขน จะช่วยให้ต่อมน้ำเหลืองขยับไปด้วย เมื่อต่อมน้ำเหลืองขยับ มันก็จะไหลเวียนไปทั่วร่างกาย อ๊ะ...อย่าลืมนะคะว่า "ระบบต่อมน้ำเหลือง" นั้น รวมไปถึง ม้าม ต่อมทอนซิล ต่อมไธมัส ฯลฯ ด้วย เหล่านี้ล้วนเป็นระบบที่ร่างกายสร้างขึ้นมาเพื่อทำความสะอาดชำระล้างให้ร่างกาย มีหน้าที่ขจัดของเสีย สารพิษในร่างกาย แถมยังช่วยสร้างเม็ดเลือดขาว แอนตี้บอดี้ของระบบภูมิคุ้มกัน กรองสารแปลกปลอม เชื้อโรคสารพัด
          เมื่อระบบต่อมน้ำเหลืองได้หมุนเวียนอย่างสะดวก ไม่ติดขัด ก็จะช่วยเยียวยาอาการเจ็บป่วยของเราได้ชะงัด กลับกัน หากระบบต่อมน้ำเหลืองติดขัด ก็จะเกิดการอักเสบ เกิดอาการบวมตามจุดที่น้ำเหลืองไหลเวียน เช่น ลำคอ หลังใบหู ท้ายทอย หน้าอก รักแร้ใต้หัวไหล่ ท้องแขน หน้าท้องกึ่งกลางระหว่างหน้าอกกับสะดือ บริเวณขาหนีบ นั่นเพราะน้ำเหลืองไม่มีปั๊มเหมือนระบบเลือด ดังนั้น ต้องออกกำลังกายเท่านั้นจึงจะช่วยให้น้ำเหลืองไหลเวียนได้ดีขึ้น


ประโยชน์ของการแกว่งแขน
          หากทำติดต่อกันสัก 10 นาที จะให้ประโยชน์ในเรื่องของการออกกำลังกาย คือช่วยให้เลือดลมหมุนเวียนได้ดีขึ้น สุขภาพร่างกายแข็งแรงขึ้น ทำให้อารมณ์แจ่มใส เบิกบาน แต่หากต้องการบรรเทาโรคภัยไข้เจ็บให้ได้ผล ก็ต้องทำติดต่อกันในระยะเวลานานกว่านั้น และทำบ่อย ๆ ทุกวันได้ยิ่งดี เพราะจะช่วยบรรเทาอาการต่าง ๆ เช่น
          F ลดการสะสมของไขมัน หากเราควบคุมอาหารควบคู่ไปด้วย ก็จะช่วยลดพุงได้ 
           F  ลดความดันโลหิตสูง ช่วยทำให้การไหลเวียนของโลหิตเป็นไปอย่างปกติ 
            F ช่วยลดความเครียด เกิดความรู้สึกผ่อนคลาย
           F  การได้ยืดเส้นยืดสาย จะช่วยให้ร่างกายรู้สึกกระปรี้กระเปร่า
            F ลดอาการปวดบ่า คอ ไหล่ จากการทำงาน

           แก้โรคออฟฟิศซินโดรม ไม่ว่าจะเป็นนิ้วล็อก มือชา ไหล่ติด จากการนั่งทำงานงก ๆ อยู่กับหน้าคอมพิวเตอร์ หากลุกขึ้นมาแกว่งแขนให้เลือดลมได้ไหลเวียนเสียหน่อย ก็จะช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคนี้ได้มากเลยทีเดียว
           ลดน้ำตาลในเลือด โดยมีงานวิจัยชิ้นหนึ่งที่นำผู้ป่วยโรคเบาหวานประเภท 2 มาฝึกออกกำลังกายด้วยการแกว่งแขน นาน 30 นาที สัปดาห์ละ 3 วัน รวม 8 สัปดาห์ ภายหลังพบว่า ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงได้
           ลดโอกาสการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด เพราะการแกว่งแขนจะช่วยให้เลือดลมไหลเวียนได้ดีขึ้น
           เป็นการออกกำลังกายที่ช่วยชะลอการเสื่อมของเข่า เพราะการแกว่งแขนนั้นไม่มีการกระแทกน้ำหนักลงที่ส่วนขาเหมือนกับการวิ่ง หรือการขี่จักรยาน จึงเหมาะกับผู้ที่มีปัญหาข้อเข่า หรือขาด้วย


  เคล็ดลับการแกว่งแขนอย่างถูกวิธี
          จะมายืนแกว่งแขนขึ้นลงไปมาธรรมดา ๆ ก็คงไม่ถูกต้องนัก เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด มาดูวิธีแกว่งแขนลดพุงที่ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) แนะนำไว้กันเลย ลองทำดูตามขั้นตอนดังนี้
           1. ยืนตรงตัว เข่าไม่งอ แยกเท้าทั้งสองข้างออกจากกัน โดยมีระยะห่างประมาณความกว้างหัวไหล่
           2. ปล่อยมือทั้งสองข้างลงตามธรรมชาติ อย่าเกร็ง ให้นิ้วมือชิดกัน หันอุ้งมือไปข้างหลัง
           3. หดท้องน้อยเข้า เอวตั้งตรง เหยียดหลัง ผ่อนคลาย กระดูกลำคอ ศีรษะ และปาก ผ่อนคลายตามธรรมชาติ
           4. จิกปลายนิ้วเท้ายึดเกาะพื้น ส้นเท้าออกแรงเหยียบลงบนพื้นให้แน่น ให้แรงจนกล้ามเนื้อโคนเท้า โคนขา และท้องตึง ๆ เป็นใช้ได้
           5. ควรงอบั้นท้ายขึ้นเล็กน้อย ระหว่างบริหารต้องหดก้น หรือขมิบทวารหนัก คล้ายยกสูงให้หดเข้าไปในลำไส้
           6. ตามองตรงไปจุดใดจุดหนึ่ง สลัดความคิดฟุ้งซ่าน กังวลออกให้หมด ทำสมาธิให้รู้สึกอยู่ที่เท้า
           7. แกว่งแขนไปข้างหน้าเบาหน่อย ทำมุม 30 องศากับลำตัว หายใจเข้า แล้วแกว่งไปข้างหลังแรงหน่อย ทำมุม 60 องศากับลำตัว จะทำให้เกิดแรงเหวี่ยง หายใจออกขณะแกว่งไปข้างหลัง นับเป็น 1 ครั้ง โดยปล่อยน้ำหนักมือให้เหมือนลูกตุ้ม และต้องสะบัดมือทุกครั้ง เพื่อให้เลือดหมุนเวียนไปถึงปลายนิ้ว
           8. ควรทำต่อเนื่องกันอย่างน้อยครั้งละ 10 นาที และใน 1 วัน ควรทำรวมกันให้ได้อย่างน้อย 30 นาที ทำเช่นนี้สัปดาห์ละ 5 ครั้ง หากทำติดต่อกันอย่างน้อย 1 เดือนครึ่งก็น่าจะเห็นผลลัพธ์ตามต้องการแล้ว
          อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่เริ่มทำแรก ๆ อย่าหักโหมนัก อาจจะลองแกว่งแขนสัก 200-300 ครั้งก่อน วันต่อมาก็ค่อย ๆ เพิ่มจำนวนครั้ง หรือเวลาให้นานขึ้น และอาจแบ่งทำเป็นช่วง ๆ เช้า กลางวัน เย็น ก็ได้ โดยควรแกว่งครั้งละอย่างน้อย 10 นาที และควรทำต่อเนื่อง อย่าทำบ้าง หยุดบ้าง จะไม่ได้ผลเท่าที่ควร
          นอกจากนี้ ระหว่างที่แกว่งแขนควรทำจิตให้เป็นสมาธิ อย่าฟุ้งซ่าน ไม่เช่นนั้นเลือดลมจะหมุนเวียนสับสน ทำให้การปฏิบัติไม่สัมฤทธิ์ผลเท่าที่ควร และเมื่อกายบริหารแกว่งแขนเสร็จสิ้นแล้ว ควรเดินพักตามสบาย เพื่อผ่อนคลายร่างกายและจิตใจ
          เห็นประโยชน์ดี ๆ แบบนี้แล้ว ก็ต้องลองลุกขึ้นมาแกว่งแขนกันสักหน่อยแล้วล่ะคะ เพราะเป็นการออกกำลังกายที่ทำได้ง่ายมาก ๆ ยืนดูทีวีไป ก็แกว่งแขนตามไปด้วยก็ได้ ร่างกายจะได้ขยับ ช่วยเผาผลาญแคลอรี่ออกไปบ้าง ดีกว่าอยู่เฉย ๆ นะคะ แถมถ้าแกว่งแขนต่อเนื่องเป็นประจำทุกวัน คุณจะตื่นตากับผลลัพธ์ที่ได้รับแน่นอน


ที่มา: http://health.kapook.com/view61732.html